“กะหล่ำปลีเจียไต๋” ผักหวานกรอบยอดนิยม เคียงคู่คนไทยมานานกว่า 24 ปี

       หากถามถึงผักยอดฮิตที่ติดหูคนไทยมาตลอด คำตอบหนึ่งในนั้นต้องมีกะหล่ำปลีอย่างแน่นอน เพราะสามารถรับประทานได้ทุกเพศ ทุกวัย ด้วยรสชาติที่อร่อย หวานกรอบ รับประทานง่าย และเข้าได้กับหลากหลายเมนูอาหาร และถ้าถามเจาะลึกลงไปว่า กะหล่ำปลีที่รับประทานนั้นคือสายพันธุ์อะไร หลายๆ คนอาจจะไม่ทราบว่ากะหล่ำปลีที่อยู่ในเมนูจานโปรดของเรานั้นคือ สายพันธุ์กะหล่ำปลีของเจียไต๋นั่นเอง

 

       กะหล่ำปลีมีถิ่นกำเนิดบนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นพืชที่เหมาะสำหรับปลูกในฤดูหนาว แต่เพื่อให้เพาะปลูกได้ผลิตผลดีในสภาพอากาศร้อนของไทยและเพื่อให้คนไทยได้บริโภคพืชผักที่หลากหลายในราคาที่เข้าถึงได้ บริษัท เจียไต๋ จำกัด ผู้นำธุรกิจนวัตกรรมการเกษตรของไทย จึงได้ร่วมมือกับบริษัท ทาคิอิ จำกัด (TAKII Seed Co., Ltd.) ผู้นำธุรกิจเมล็ดพันธุ์ระดับโลกของประเทศญี่ปุ่น ปรับปรุงสายพันธุ์กะหล่ำปลีเพื่อให้สามารถเพาะปลูกกะหล่ำปลีในประเทศไทยได้ตลอดทั้งปี โดยเริ่มศึกษาวิจัย ปรับปรุงสายพันธุ์ และลงพื้นที่ทดลองปลูก จนเป็นที่มาของ “กะหล่ำปลีเจียไต๋ T-523 และ T-530” ที่อยู่คู่คนไทยมานานถึง 24 ปี โดยมีจุดเด่นที่ทนโรค ทนฝน เหมาะกับสภาพอากาศของไทยที่ร้อนตลอดทั้งปี ห่อหัวได้ดี และเก็บแขนงได้ ส่งผลให้ปัจจุบัน คนไทยได้บริโภคกะหล่ำปลีหัวใหญ่ที่มีคุณภาพสูง รสชาติหวานกรอบ ถูกปากชาวไทย และที่สำคัญรับประทานได้ตลอดทั้งปีในราคาย่อมเยา

                                                          กะหล่ำปลีเจียไต๋ T-523                            กะหล่ำปลีเจียไต๋ T-530

 

       จุดเด่นของกะหล่ำปลี T-523 คือ ความแข็งแรง ทนโรค ทนฝน ปลูกได้ทุกพื้นที่ เป็นสายพันธุ์ที่สามารถเก็บแขนงได้ และเป็นที่ต้องการของตลาด มีอายุเก็บเกี่ยว 60-65 วันหลังย้ายกล้า ในส่วนของกะหล่ำปลี T-530 นั้น โดดเด่นเรื่องการห่อหัวแน่น น้ำหนักดี ทนโรค ทนฝน ทนขนส่ง ปลูกได้ทุกฤดู ให้ผลิตผลต่อไร่สูง เป็นที่ต้องการของตลาด มีอายุเก็บเกี่ยว 60-65 วันหลังย้ายกล้า

 

       สำหรับผู้ที่สนใจเมล็ดพันธุ์ “กะหล่ำปลีเจียไต๋ T-523 และ T-530” สามารถหาซื้อได้ที่ร้านค้าเกษตรชั้นนำทั่วประเทศ หรือติดตามข่าวสารพร้อมด้วยเคล็ดลับความรู้ทางการเกษตรได้ทาง Facebook: เมล็ดพันธุ์เจียไต๋ www.facebook.com/chiataiseed Line @chiataiseed และเว็บไซต์เจียไต๋ www.chiataigroup.com