เทคนิคปลูก “หอมแบ่ง” ชาว อ.ลับแล หลอดใหญ่ ใบหนา แตกกอดี ตัดขายได้ใน 45 วัน

       เมื่อพูดถึง “หอมแบ่ง” บางคนอาจจะไม่คุ้นหูนัก แต่หากบอกว่าเป็น “ต้นหอม” คงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเป็นผักที่ใช้ประกอบอาหารได้หลากหลายมาก จึงทำให้ความต้องการใช้ในแต่ละวันสูงมากทั้งในระดับครัวเรือนและกลุ่มธุรกิจอาหาร

 

       โดยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกหอมแบ่งเฉลี่ยมากถึง 36,000 ไร่ (ข้อมูล : กรมส่งเสริมการเกษตรปี 2559-2563) ด้านราคาก็ไม่ธรรมดา...เพราะหากเป็นช่วงที่ขาดตลาดนั้นราคาจะพุ่งสูงมากกว่าไร่ละ 1 แสนบาทเลยทีเดียวการปลูกหอมแบ่งนั้นดูเหมือนจะไม่ซับซ้อน แต่การจะปลูกให้ได้คุณภาพ หลอดใหญ่ ใบหนาสีเขียวสวย ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ตลาดต้องการนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

 

       วันนี้เราพาไปคุยกับผู้รู้จริงเรื่องหอมแบ่งอย่าง “คุณกุ๊ก-ชำนาญ บุญอยู่” ชาว อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ เกษตรกรปลูกหอมแบ่งที่มีประสบการณ์การมากกว่า 20 ปี มีพื้นที่ปลูกกว่า 37 ไร่ โดยในแต่ละปีนั้นจะปลูกหอมแบ่งจำหน่ายทั้งแบบขายต้น และขายหัวพันธุ์คุณภาพ

 

       คุณชำนาญ เผยว่า “หอมแบ่ง” เป็นพืชที่ปลูกได้ทุกพื้นที่ๆน้ำไม่ท่วมขัง มีอายุเก็บเกี่ยวเพียง 45-50 วันเท่านั้น ข้อดีคือสามารถขายได้ทั้งแบบขายต้นสด หรือหากเป็นช่วงที่ราคาไม่ดี เราสามารถบำรุงขายเป็นหัวพันธุ์ได้เช่นกัน แถมบางครั้งอาจจะได้ราคาสูงกว่าขายต้นสดด้วยซ้ำ ใครที่อยากลองเริ่มปลูก “หอมแบ่ง” ต้องไปติดตามว่ามืออาชีพเขาเริ่มกันอย่างไร?!

 

 

“อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์” แหล่ง “หอมแบ่ง” พันธุ์แกร่ง ขึ้นชื่อระดับประเทศ

 

       “หอมแบ่ง” นั้นสามารถขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด หรือปลูกจากหัวพันธุ์ก็ได้ ซึ่งเกษตรกรส่วนมากนั้นนิยมใช้หัวพันธุ์ เนื่องจากสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไวกว่า โดยหนึ่งในหัวพันธุ์ที่ขึ้นชื่อนั้นมาจาก “อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์” เนื่องจากมีจุดเด่นคือแตกกอดี ใบสีเขียวเข้ม และที่สำคัญคือทนฝน ทำให้ อ.ลับแล เป็นแหล่งผลิตหัวพันธุ์หอมแบ่งคุณภาพกระจายไปยังแหล่งปลูกอื่นทั่วประเทศ

 

       คุณชำนาญ เล่าเกร็ดความรู้ให้ฟังว่า เกษตรกรมือใหม่บางคนอาจเคยได้ยินชื่อพันธุ์หอมแบ่งหลากหลายสายพันธุ์ เช่น พันธุ์อาหลาด, พันธุ์จ่อย, พันธุ์บัวบาน ฯลฯ ความจริงแล้วหัวพันธุ์เหล่านี้ส่วนใหญ่มาจาก อ.ลับแล แต่ตั้งชื่อตามเกษตรกรผู้คัดหัวพันธุ์ หากหัวพันธุ์ของใครปลูกแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีก็จะถูกบอกต่อกันปากต่อปาก ถือเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่สืบทอดกันมานาน

“หอมแบ่งพันธุ์ลับแล” เนื้อที่กว่า 37 ไร่ ของคุณชำนาญ

 

เรื่องต้องรู้! เพื่อเตรียมพันธุ์หอมแบ่งแบบมืออาชีพ

 

       แม้ว่า “หอมแบ่ง” นั้นเป็นพืชที่ปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่โดยปกติแล้วเกษตรกรจะนิยมปลูกกันปีละประมาณ 2 รอบ หอมแบ่งที่ปลูกช่วงฤดูฝน (ปลายเดือนกรกฎาคม-กันยายน) จะเรียกกันว่า “หอมแบ่งหน้าน้ำ” ส่วนหอมแบ่งที่ปลูกช่วงฤดูหนาว (ธันวาคม-มกราคม) จะเรียกว่า “หอมแบ่งหน้าแล้ง”

 

ทั้งนี้ “หอมแบ่งหน้าน้ำ” จะโตไวกว่า “หอมแบ่งหน้าแล้ง” เนื่องจากหัวพันธุ์ที่ใช้ปลูกนั้นมีระยะการตากหัวพันธุ์ที่ไม่เท่ากันกัน


       - หัวพันธุ์ที่ปลูกจากหอมแบ่งหน้าน้ำ หลังจากเก็บหัวพันธุ์ต้นสดแล้วจะตากในที่ร่มและโปร่งประมาณ 14 วัน ก็สามารถนำไปทำหัวพันธุ์สำหรับปลูกในหน้าแล้งได้เลย


       - หัวพันธุ์ที่ปลูกจากหอมแบ่งหน้าแล้ง หลังจากเก็บหัวพันธุ์ต้นสดแล้วจะตากในที่ร่มและโปร่งประมาณ  1-2 เดือน จากนั้นจะตัดแต่งต้นและรากทิ้งแล้วคลุกหัวพันธุ์ด้วย

“ปูนขาว” เพื่อป้องกันแมลงและเชื้อรา แล้วพักไว้อีกประมาณ 1 เดือน โดยรวมแล้วพันธุ์หอมแบ่งที่ปลูกหน้าแล้งนั้นจะมีระยะพักตัวนานประมาณ 3 เดือน ถึงสามารถนำไปทำหัวพันธุ์ปลูกในหน้าน้ำได้


       ดังนั้น หอมแบ่งหน้าน้ำจึงโตไวและใช้เวลาการปลูกไวกว่าหอมแบ่งหน้าแล้ง เพราะปลูกจากหัวพันธุ์ที่แก่จัดจากระยะพักตัวที่นานกว่า เมื่อลงปลูกแล้วหอมแบ่งจึงสามารถแทงยอดและโตได้ไว คุณชำนาญ จึงแนะนำว่า หากเกษตรกรจะเริ่มปลูกหอมแบ่ง ควรวางแผนการเตรียมพันธุ์ปลูกอย่างเป็นระบบ หรือหากจะซื้อหัวพันธุ์ต้องสอบถามกับผู้ขายว่าเป็นพันธุ์หอมแบ่งที่ปลูกช่วงใด และไม่ควรใช้หัวพันธุ์ที่อายุเกิน 6 เดือน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะฝ่อหรือเน่าได้

(ภาพซ้าย) พันธุ์หอมแบ่งที่ปลูกหน้าน้ำ มีระยะพักหัวประมาณ 14 วัน
(ภาพขวา) พันธุ์หอมแบ่งที่ปลูกหน้าแล้ง มีระยะพักหัวประมาณ 3 เดือน

 

 

เตรียมแปลง-เลือกระบบน้ำเหมาะสมพื้นฐานสำคัญช่วยหอมแบ่งเจริญเติบโตได้ดี

 

หอมแบ่งนั้นเป็นพืชที่รากสั้น ดังนั้น ดินที่ใช้ปลูกต้องมีความร่วนซุยและมีธาตุอาหารที่สมบูรณ์ พืชจึงจะแทงหัวและรากเดินได้ดี

 

       สำหรับหอมแบ่งหน้าน้ำ ก่อนปลูก คุณชำนาญ จะใช้เวลาเตรียมดินประมาณ 2 เดือน โดยจะใช้ขี้เถ้าชานอ้อยประมาณ 1 รถดั้มพ์/ไร่ และมูลไก่ประมาณ 10-20 กระสอบ/ไร่ โดยสาเหตุที่ใช้มูลไก่เนื่องจากมีเมล็ดวัชพืชปะปนอยู่น้อยกว่ามูลสัตว์ชนิดอื่น จากนั้นจะไถพรวนและตากดินทิ้งไว้เพื่อฆ่าเชื้อโรค และพร้อมทำการปลูก

 

       สำหรับหอมแบ่งหน้าแล้ง จะนิยมปลูกหลังจากทำนา โดยใช้มูลไก่ประมาณ 10-20 กระสอบ/ไร่ และทำการพรวนดิน หลังจากนั้นจะขึ้นร่องและใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี เพื่อรองพื้นบนร่องปริมาณ 50กก./ไร่ พร้อมทำการปลูกได้เลย

การปลูกหอมแบ่งนั้นควรฝังหัวพันธุ์เพียงครึ่งหัว หากลึกเกินจะทำให้ลงหัวลำบาก

 

       เนื่องจากหอมแบ่งนั้นเป็นพืชที่ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ก่อนปลูกจะต้องยกแปลง สูงประมาณ 30-40 ซม. ระยะหน้ากว้างของแปลงประมาณ 1.2 เมตร โดยเมื่อลงหัวพันธุ์ จะเว้นระยะห่างระหว่างหัวประมาณ 15 ซม. หรือประมาณ 8 หัวพันธุ์ต่อแถว ซึ่งเป็นระยะที่เหมาะสมสำหรับการปลูกหอมแบ่งเพื่อจำหน่ายทั้งรูปแบบขายต้นและหัวพันธุ์ หากปลูกด้วยระยะที่ถี่กว่านี้จะไม่เหมาะกับการปลูกหัวพันธุ์จำหน่าย เนื่องจากต้นจะแย่งอาหารกันแล้วทำให้หัวพันธุ์เล็ก โดยหลังจากลงหัวพันธุ์เรียบร้อยแล้วจะต้องคลุมฟางให้ทั่วแปลง เพื่อรักษาความชื้นหน้าดิน

หลังลงหัวพันธุ์แล้วจะคลุมฟางทันที เพื่อรักษาความชื้นหน้าดิน

 

 

       สำหรับระบบน้ำ คุณชำนาญ เผยว่าที่แปลงจะใช้เป็นแบบสปริงเกลอร์ เนื่องจากละอองน้ำจะกระจายได้อย่างทั่วถึงในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ ช่วงที่อากาศเย็นมีหมอกลงจัดในตอนเช้า สปอร์เชื้อราจะแพร่ระบาดได้ดีตามลม น้ำฝน และน้ำค้าง ซึ่งเวลาที่เรารดน้ำ ละอองน้ำจากสปริงเกลอร์จะชะล้างคราบน้ำค้างเหล่านี้ออก ช่วยลดปัญหาราน้ำค้าง ราแป้ง และราสนิมในหอมแบ่งได้ไปในตัว

 

 

เทคนิคการบำรุง “หอมแบ่ง”ให้หลอดใหญ่ ใบหนา แตกกอดี

 

        ลักษณะของหอมแบ่งที่เป็นที่ต้องการของตลาดคือ หลอดใหญ่ ใบหนา สีใบเขียวเข้ม ต้นสวยแข็งแรง ทนการขนส่ง ซึ่งหลักการสำคัญคือ ต้องบำรุงพืชให้ได้รับธาตุอาหารเพียงพอต่อการเจริญเติบโต เพราะหอมแบ่งที่ขายในรูปแบบต้นหอมนั้นมีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 45-50 วันเท่านั้น ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า “หอมหน้าน้ำ” จะโตไวกว่า “หอมหน้าแล้ง” ดังนั้น การบำรุงในแต่ละช่วงก็จะแตกต่างกัน ดังนี้

 

1. หอมแบ่งหน้าน้ำ (ปลูกปลายเดือนกรกฎาคม-กันยายน) จะแทงยอดหลังลงหัวพันธุ์ประมาณ 7 วัน ซึ่งในระยะนี้ เราจะยังไม่ได้ทำการบำรุง เนื่องจากดินยังมีธาตุอาหารจากมูลไก่อยู่แล้ว


       - ช่วงหอมแบ่งอายุ 14-15 วัน จะเริ่มใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-16-16 บลู อัตรา 50 กก./ไร่ เพื่อช่วยเร่งการแทงต้นและแตกกอ เพิ่มการเจริญเติบโต จะทำให้ต้นพุ่งได้ดี

       - ช่วงหอมแบ่งอายุ 25-30 วัน จะใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-16-16 บลู อัตรา 50 กก./ไร่ อีกครั้ง เพื่อให้หอมแบ่งนั้นมีหลอดที่ใหญ่ ใบหนา ทนการขนส่ง และสีเขียวเข้มสวยเป็นที่ต้องการของตลาด โดยการบำรุงหอมแบ่งหน้าน้ำ เกษตรกรควรเลี่ยงการใส่ปุ๋ยช่วงฝนตกชุก เนื่องจากเสี่ยงต่อการทำให้ต้นหอมเน่าหรือยุบตัวได้ ดังนั้น หากเป็นช่วงที่ฝนตก ให้เว้นระยะการใส่ปุ๋ยออกไปอีก 2-3 วัน

       คุณชำนาญ เล่าว่าในระหว่างที่ปลูกหอมแบ่งได้ประมาณ 20-25 วัน จะเริ่มมีผู้รับซื้อเจ้าประจำติดต่อเสนอราคามา หากได้ราคาที่พอใจทั้ง 2 ฝ่าย ผู้ซื้อก็จะจ่ายเงินมัดจำ จากนั้นเราจะดูแลหอมแบ่งต่อจนถึงระยะเวลาประมาณ 45 วัน ผู้ซื้อจะนำคนงานมาเก็บเกี่ยวผลผลิตเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย


แต่หากเราไม่ต้องการจำหน่ายในรูปแบบต้นหอม อาจจะเพราะราคาตกหรือว่าต้องการเก็บหอมแบ่งไว้ทำพันธุ์อยู่แล้วก็จะบำรุงต่อ ดังนี้


        - ช่วงหอมแบ่งอายุ 45 วัน จะใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 13-13-24 อัตรา 50 กก./ไร่ เพื่อช่วยขยายหัวและเพิ่มน้ำหนักหัวพันธุ์ จากนั้นพอหอมแบ่งอายุได้ 60 วัน ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้ โดยหัวพันธุ์ที่ได้จะสมบูรณ์เก็บไว้ปลูกเองก็ดี หรือจะจำหน่ายก็ได้ราคา

       คุณชำนาญ เผยว่าการบำรุงหอมแบ่งสำหรับทำหัวพันธุ์นั้น ควรเน้นให้ครบทั้ง 3 องค์ประกอบคือ ใบ ต้น และหัว หากเราบำรุงเฉพาะ “หัว” ด้วยปุ๋ยสูตรตัวท้ายอย่างเดียว

(ธาตุโพแทสเซียม) จะทำให้หอมแบ่งใบสั้น ไม่งาม ส่งผลให้หัวพันธุ์เล็ก เสียน้ำหนักได้ จึงแนะนำให้ใช้ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 13-13-24 ที่มีธาตุอาหารหลักครบ และมีธาตุโพแทสเซียมสูง ช่วยบำรุงทั้งส่วนหัวให้ใหญ่ และบำรุงต้น-ใบให้สมบูรณ์ สามารถสังเคราะห์แสงสร้างอาหารไปเลี้ยงหัวพันธุ์ได้ดี  

ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 13-13-24 ช่วยบำรุงหอมแบ่งระยะลงหัวให้สมบูรณ์ทั้งต้น ใบ และหัว ได้หัวพันธุ์คุณภาพสูง

 

2. หอมแบ่งหน้าแล้ง (ปลูกเดือนธันวาคม-มกราคม) จะเริ่มแทงยอดหลังลงหัวพันธุ์ประมาณ 14 วัน


       - ช่วงหอมแบ่งอายุ
20 วัน
จะเริ่มใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-16-16 บลู อัตรา 50 กก./ไร่ เพื่อช่วยเร่งการแทงต้นและแตกกอ จะทำให้ต้นหอมแบ่งพุ่งได้ดี

       - ช่วงหอมแบ่งอายุ 25-30 วัน จะใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-16-16 บลู อัตรา 50 กก./ไร่ อีกครั้ง เพื่อให้หอมแบ่งนั้นมีหลอดที่ใหญ่ ใบหนาทนการขนส่ง และสีเขียวเข้มสวย

กระทั่งหอมแบ่งอายุได้ประมาณ 50-55 วัน จะสามารถจำหน่ายในรูปแบบต้นหอมได้ แต่หากต้องการทำหัวพันธุ์จะต้องบำรุงต่อ ดังนี้

 

        - ช่วงหอมแบ่งอายุ 60 วัน จะใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 13-13-24 อัตรา 50 กก./ไร่ เพื่อช่วยขยายหัวและเพิ่มน้ำหนักหัวพันธุ์ให้มีคุณภาพ จากนั้นพอหอมแบ่งอายุได้ 90 วัน ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวไว้สำหรับทำพันธุ์ได้

       สำหรับเทคนิคการบำรุงหอมแบ่งข้างต้นนั้น คุณชำนาญ ได้เรียนรู้จากการสังเกตพร้อมแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนผู้ปลูกหอมแบ่งด้วยกัน และนำมาปรับใช้กับตนเอง จนประสบความสำเร็จ ทำให้ได้หอมแบ่งคุณภาพดี มีมาตรฐาน สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้รับซื้อ จนมีพ่อค้าเจ้าประจำติดต่อกันแบบไม่มีขาดช่วงเลยทีเดียว

 

       “เมื่อก่อนนั้นผมไม่รู้จักปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-16-16 บลู แต่เห็นแปลงหอมแบ่งของเพื่อนเกษตรกรใบเขียว สวยงาม เลยไปถามถึงเคล็ดลับดู  จึงทราบว่าเขาใช้ปุ๋ยสูตรนี้ พอได้มาลองใช้ด้วยตนเองนั้นก็พบว่าได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก เม็ดปุ๋ยละลายได้เร็ว พืชสามารถนำไปใช้ได้ไว หลังหว่าน 2-3 วัน ก็เห็นผลแล้ว โดยเฉพาะหอมแบ่งนั้นเป็นพืชที่เก็บเกี่ยวไว จึงต้องเร่งบำรุงให้เพียงพอก่อนเก็บเกี่ยว ซึ่งปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-16-16 บลู นั้นถือว่าตอบโจทย์มาก ใช้มาต่อเนื่องเข้าปีที่ 3 แล้วครับ” คุณชำนาญ เผยถึงเคล็ดลับความสำเร็จ

คุณชำนาญ กับ “ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-16-16 บลู” และ “ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 13-13-24
ตัวช่วย 2 สูตรเด็ดคู่หอมแบ่ง ช่วยบำรุงทั้งต้นและหัวพันธุ์

หอมแบ่งคุณภาพ หลอดใหญ่ ใบหนา สีเขียวเข้ม ในระยะประมาณ 30-35 วัน รอการเก็บเกี่ยว

 

 

ปรับการผลิตตามแนวโน้มตลาดผลผลิตได้คุณภาพทั้งต้นและหัวพันธุ์

 

การปลูกหอมแบ่งให้ได้ราคาดี นอกจากคุณภาพของผลผลิตแล้ว เราต้องศึกษาความต้องการทางตลาด เพื่อไม่ให้หอมแบ่งของเรานั้นออกผลผลิตชนกับพื้นที่อื่น

 

       คุณชำนาญ กล่าวว่าก่อนที่จะลงหอมแบ่งแต่ละรุ่นจะตรวจสอบความต้องการตลาดเบื้องต้น และปริมาณผู้ปลูกหอมแบ่งในพื้นที่อื่น จากกลุ่มเฟซบุ๊ก “ชมรมผู้ปลูกหอมแบ่งและแบ่งปันประสบการณ์” โดยในกลุ่มนั้นจะมีทั้งผู้ปลูกหอมแบ่งและผู้ซื้อมาแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เราจะได้ข้อมูลตรงนี้มาพิจารณาว่าควรจะปลูกหอมแบ่ง

 

ช่วงใด แต่หากว่ามีผู้ปลูกเยอะเราก็สามารถปลูกหัวพันธุ์เพื่อให้คนภาคอื่นปลูกได้ เพราะจุดได้เปรียบของหอมแบ่ง อ.ลับแล คือมีชื่อเสียงในกลุ่มเกษตรกรปลูกหอมแบ่งอยู่แล้ว

 

       สำหรับต้นทุนการปลูกหอมแบ่งนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 20,000 – 25,000 บาท/ไร่ โดยการขายหอมแบ่งในรูปแบบของ “ต้นหอม” จะได้ราคาประมาณ 35,000 – 140,000 บาท/ไร่ส่วนการเก็บหอมแบ่งไว้ทำพันธุ์ สามารถจำหน่ายได้ 3 รูปแบบ คือ

 

       แบบที่ 1 การขายแบบเหมาไร่ จะมีผู้รับซื้อมาเก็บเกี่ยวหัวพันธุ์ที่แปลงและนำไปตากเองทั้งหมด  ข้อดีคือ เราไม่ต้องลงแรงอะไรเลย แต่ก็จะเป็นการขายที่ได้ราคาน้อยที่สุด

       แบบที่ 2 หอมจุก หลังจากเกี่ยวหัวพันธุ์แล้วจะนำมาผึ่งลมไว้ในโกดังที่ร่มและโปร่ง ที่สามารถระบายอากาศได้ดีนาน 1 เดือนจนหัวและใบแห้ง ก็สามารถจำหน่ายได้ในราคาประมาณ 30-35 บาท/กก.

“หอมจุก” ในโกดังเตรียมไว้เตรียมทำหัวพันธุ์เพื่อปลูกในหอมแบ่งหน้าน้ำ หรือจำหน่าย

 

       แบบที่ 3 หอมถุงกระดาษเป็นหอมแบ่งที่ปลูกในหน้าแล้งเท่านั้น หากเป็นหอมแบ่งหน้าน้ำจะนิยมจำหน่ายเฉพาะใน 2 รูปแบบข้างต้น โดยหัวพันธุ์แบบนี้จะต้องพักตัวนาน 3 เดือน รวมทั้งต้องมีการตัดแต่งราก คลุกปูนขาว และบรรจุถุงกระดาษ ดังนั้นจึงเป็นหัวพันธุ์ที่จำหน่ายได้ราคาดีที่สุด อยู่ในช่วงราคาประมาณ 45-60 บาท/กก.

 

      ทั้งนี้ ราคาของหัวพันธุ์ข้างต้นนั้นเป็นราคาที่แบบที่ซื้อขายกันในปริมาณมาก หากขายปลีกทางออนไลน์ หรือผ่านพ่อค้าคนกลางก็จะมีราคาสูงขึ้น

หัวพันธุ์หอมแบ่งหลังตัดแต่งใบ-ราก คลุกปูนขาว พร้อมบรรจุในถุงกระดาษ เกษตรกรจึงนิยมเรียกว่า “หอมถุงกระดาษ”

 

       การปลูกหอมแบ่งนั้นเหมาะสำหรับเกษตรกรที่อยากปลูกพืชอายุสั้น เก็บเกี่ยวไว ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มาก และสามารถลองปลูกได้ด้วยต้นทุนไม่สูงมาก แต่สิ่งสำคัญคือ หอมแบ่งของเรานั้นต้องได้คุณภาพ มีใบหนา หลอดใหญ่ สีเขียวเข้ม ร่วมกับมีการการวางแผนการปลูกที่ดี เก็บหัวพันธุ์ไว้ใช้เอง ถ้ามีสิ่งเหล่านี้แล้วคุณชำนาญ บอกว่า “โอกาสขาดทุนแทบจะไม่มีเลย” แถมยังอาจได้กำไรหลักหมื่นหลักแสนได้ไม่ยาก

คุณชำนาญ เก็บเกี่ยวหอมแบ่งเตรียมไว้สำหรับทำหัวพันธุ์เพื่อปลูกในรุ่นถัดไป

หอมแบ่งหลอดใหญ่ ใบหนา สีเขียมเข้ม ผลผลิตคุณภาพจากไร่คุณชำนาญ

 

สามารถติดตามสาระเกษตรน่ารู้ ได้ที่

คลิก สูตรสำเร็จการปลูก “หอมแบ่ง” แบบฉบับปุ๋ยตรากระต่าย 

 

ติดตามข่าวสารอื่นๆ ข้อมูลสินค้า และข่าวสารจากปุ๋ยตรากระต่าย เพิ่มเติมได้ที่

Facebook: www.facebook.com/puitrakratai/

YouTube: www.youtube.com/c/Puitrakratai

ข้อมูลสินค้าปุ๋ยตรากระต่าย: www.chiataigroup.com/business/fertilizer/puitrakratai