เทคนิคการปลูกและการบำรุงกะหล่ำดอก ให้หน้าดอกแน่น กลมนูน น้ำหนักดี ขายได้ราคา

       “กะหล่ำดอก” จัดเป็นพืชผักที่ได้รับความนิยมปลูกค่อนข้างน้อย โดยทั่วประเทศมีพื้นที่เพาะปลูก รวม 3,800 ไร่ (ข้อมูลจาก ระบบสารสนเทศการผลิตทางด้านการเกษตรปี2565 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับพืชผักชนิดอื่น และหากผลผลิตมีคุณภาได้น้ำหนักดี ก็ขายได้ราคาเป็นที่น่าพอใจเช่นกัน นี่จึงเป็นโอกาสดีสำหรับพี่น้องเกษตรกรที่สนใจปลูกกะหล่ำดอก ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกท่านมาดูเทคนิคการปลูกและการบำรุงให้ได้กะหล่ำดอกคุณภาพ หน้าดอกแน่น กลมนูน สีสวย น้ำหนักดี มาติดตามกันได้เลยครับ 

 

       “กะหล่ำดอก พืชตระกูลกะหลํ่า ที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็น อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเพาะปลูกอยู่ในช่วง 15-18 องศาเซลเซียส และจะเติบโตได้ดีในินร่วนปนเหนียว มีความเป็นกรดด่างในดิน (pH) อยู่ที่ 6.0-6.8 สำหรับการเตรียมแปลงปลูก แนะนำให้ทำการไถดะ โดยไถให้ลึกประมาณ 15-20 ซม. และตากดินทิ้งไว้ 7-10 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรค จากนั้นทำการไถพรวนเพื่อย่อยดิน และกำจัดเศษวัชพืช พร้อมใส่ปุ๋ยคอก ในอัตรา 200-500 กก./ไร่ เพื่อช่วยปรับโครงสร้างดินและเพิ่มจุลินทรีย์ จากนั้นเพิ่มธาตุอาหารในดิน โดยการใส่ปุ๋ยรองพื้น ด้วยปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 15-15-15 อัตรา 20-25 กก./ไร่ ให้ดินมีความสมบูรณ์ ในการปลูกกะหล่ำดอกนั้นจะเว้นระยะปลูกระหว่างต้น 40 ซม. และเว้นระยะห่างระหว่างแถว 40 ซม. การปลูกระยะนี้จะช่วยให้ต้นกะหล่ำดอกเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่  

ขั้นตอนการเตรียมแปลงปลูก เพื่อให้ดินสมบูรณ์ และพร้อมสำหรับการย้ายกล้าลงแปลงปลูก 

ระยะการปลูกกะหล่ำดอก เพื่อให้ต้นเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ 

(ระยะห่างระหว่างต้น 40 ซม. ระยะห่างระหว่างแถว 40 ซม.)  

 

       อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ได้กะหล่ำดอกคุณภาพ คือการเลือกสายพันธุ์ให้เหมาะกับฤดูกาลเพาะปลูก เนื่องจากสภาพอากาศคือตัวแปร ที่ส่งผลต่อการเพาะปลูกโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการระบาดของโรคและแมลง พายุฝน หรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบกระทันหัน ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายต่อผลผลิตได้ จึงต้องเลือกสายพันธุ์กะหล่ำดอกให้ให้เหมาะกับฤดูเพาะปลูก ดังนี้ 

 

       ในฤดูร้อนและฤดูฝน เป็นช่วงที่เพาะปลูกกะหล่ำดอกยาก และมีผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย เนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย แต่ข้อดีคือราคารับซื้อจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นสายพันธุ์ที่ปลูกในช่วงฤดูนี้ควรทนต่อสภาพอากาศร้อนได้ดี รวมทั้งทนต่อโรคและแมลงที่จะระบาดในฤดูฝนได้ อย่างเช่น กะหล่ำดอกสายพันธุ์สตาร์ 

กะหล่ำดอกสายพันธุ์สตาร์ เหมาะสำหรับการปลูกในฤดูร้อนและฤดูฝน ทนโรคและแมลงได้ดี ให้ผลผลิตดี มีคุณภาพ 

 

       ในฤดูหนาว เป็นช่วงที่กะหล่ำดอกเจริญเติบโตได้ดี และหากเลือกสายพันธุ์คุณภาพ อย่าง กะหลํ่าดอกสายพันธุ์พอลล่า ที่ทนหนาว ทนโรค มีหน้าดอกแน่น ใบห่อหุ้มดอกดี ต้นแข็งแรง น้ำหนักดี ก็จะได้ผลผลิตคุณภาพ และขายได้ราคา (สามารถดูคำแนะนำเกี่ยวกับสายพันธุ์เพิ่มเติมได้ที่ Cauliflower-Manual-double-page_compressed-1.pdf )

กะหลํ่าดอกสายพันธุ์พอลล่า เจริญเติบโตได้ดีในฤดูหนาว ให้ผลผลิตดอกใหญ่ น้ำหนักดี หน้าดอกแน่น ผลผลิตคุณภาพ และขายได้ราคา 

 

 

ขั้นตอนการเพาะกล้ากะหล่ำดอก ให้ต้นสมบูรณ์ สามารถทำได้ 2 วิธี ดังนี้  

 

       1. การเพาะกล้าในถาดหลุมเพาะกล้า จะเริ่มจากโรยวัสดุเพาะกล้า หรือขุยมะพร้าวให้ทั่วถาด จากนั้นทำการหยอดเมล็ดพันธุ์หลุมละเมล็ข้อดีคือ สามารถู้จำนวนกล้าที่ทำการเพาะ ช่วยให้ประหยัดเมล็ดพันธุ์ และช่วยทำให้กล้าเจริญเติบโตสม่ำเสมอกัน 

       2. การเพาะกล้าในแปลงปลูก เริ่มจากการแบ่งพื้นที่เพาะกล้า จากนั้นทำการโรยขุยมะพร้าว ตามด้วยเมล็ดพันธุ์ และใช้ฟางคลุมเพื่อรักษาความชื้น วิธีนี้จะไม่ยุ่งยาก และช่วยลดขั้นตอนการเพาะกล้า แต่จะใช้จำนวนเมล็ดพันธุ์เยอะ

 

       ในระยะเพาะกล้า แนะนำให้รดน้ำทุกวัน และเมื่อกล้าอายุ 10-15 วัน ให้บำรุงธาตุอาหารด้วยปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-16-16 บลู อัตรา 15 กรัม ละลายในน้ำ 20 ลิตร โดยจะใส่ 2 ครั้ง ระยะห่าง 7-10 วัน ช่วยให้ต้นกล้าแข็งแรง โตไว และต้นมีความเจริญเติบโตอย่างสม่ำเสมอ เมื่อกล้าอายุ 25-30 วันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะในการย้ายกล้าลงแปลงปลูก  

 

       หลังย้ายกล้าลงปลูก กะหล่ำดอกจะเจริญเติบโตเร็ว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ การบำรุงธาตุอาหารเพื่อให้ต้นกะหล่ำดอกสมบูรณ์ บใหญ่ ดอกใหญ่ หน้าดอกแน่น กลมนูน น้ำหนักดี โดยเทคนิคการบำรุงในแต่ละระยะการเจริญเติบโต มีรายละเอียดดังนี้  

การบำรุงธาตุอาหารตามระยะการเจริญเติบโตของกะหล่ำดอก 

 

       หลังจากย้ายกล้าลงแปลงปลูก 7-14 วัน เป็นช่วงที่กะหล่ำดอกเข้าสู่ระยะเจริญเติบโตทั้งทางต้นและทางใบ แนะนำบำรุงด้วยปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 21-0-0 อัตรา 10-15 กก./ไร ธาตุไนโตรเจนจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของต้นกะหล่ำดอกช่วงต้นเล็ก ให้ต้นแข็งแรง ตั้งต้นได้ไว และโตเร็ว 

 

       เมื่อกะหล่ำดอก อายุ 15-30 วัน เป็นช่วงที่ต้องการธาตุอาหารในการบำรุงต้นและใบเพื่อสะสมอาหารในการสร้างดอก แนะนำใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-16-16 บลู อัตรา 10-15 กก./ไร เพื่อช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ให้ต้น ให้ใบใหญ่ พร้อมในการออกดอก  

 

       เมื่อกะหล่ำดอก อายุ 40-45 วัน จะเข้าสู่ระยะการบำรุงดอกและบำรุงต้น เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ ให้ใบใหญ่ ดอกใหญ่ แนะนำใช้ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-16-16 บลู ผสมกับ ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 46-0-0 (สัดส่วน 2:1) อัตรา 25-30 กก./ไร เพื่อให้ต้นแข็งแรง ขยายใบให้ใหญ่ เพื่อช่วยให้ดอก ใหญ่ขึ้น 

 

       ในระยะบำรุงขยายดอก เพิ่มน้ำหนัก (อายุ 50-55 วัน) เป็นช่วงบำรุงให้ดอกใหญ่ กลมนูน ให้ผักมีคุณภาพ แนะนำใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 13-13-24 ผสมกับ ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-16-16 บลู (สัดส่วน 2:1) อัตรา 30-50 กก./ไร เพื่อช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของดอกและใบ ช่วยเร่งขยายดอก ให้ดอกใหญ่และสวย หน้าดอกแน่น น้ำหนักดี มีคุณภาพ  

 

       กะหล่ำดอก เป็นพืชทางเลือกที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะปลูกเป็นพืชหลัก พืชหมุนเวียน หรือเลือกปลูกเป็นพืชเสริม หลังจากทำไร่-ทำนาเพื่อเสริมรายได้ โดยกะหล่ำดอกนั้น เป็นพืชที่มีตลาดรองรับ หากผลผลิตมีคุณภาพ น้ำหนักดี ก็ขายได้ราคา หัวใจสำคัญอยู่ที่การใส่ใจในทุกขั้นตอนการปลูก โดยเฉพาะการเลือกสายพันธุ์ให้เหมาะกับฤดูกาล การจัดการแปลงปลูก และการบำรุงธาตุอาหาร เพื่อให้ดอกใหญ่ หน้าดอกแน่น กลมนูนสวย ได้น้ำหนัก และที่ขาดไม่ได้คือการเลือกปุ๋ยที่มีคุณภาพ อยางปุ๋ยตรากระต่าย ปุ๋ยที่พี่น้องเกษตรกรยกให้เป็นอันดับ 1 ในใจ ในการบำรุง ให้ได้ผลผลิตดี มีคุณภาพ ชัวร์ เด๊ะเด๊ะครับ  

 

 

ติดตามข่าวสารอื่นๆ ข้อมูลสินค้า และข่าวสารจากปุ๋ยตรากระต่าย เพิ่มเติมได้ที่   

Facebook: www.facebook.com/puitrakratai/   

YouTube: www.youtube.com/c/Puitrakratai   

TikTok: https://www.tiktok.com/@puitrakratai   

ข้อมูลสินค้าปุ๋ยตรากระต่าย: https://www.chiataigroup.com/business/fertilizer/Puitrakratai-Fruits-Vegetables