“ดินเปรี้ยว” เป็นลักษณะของดินที่มีความเป็นกรดสูง ในประเทศไทยมีพื้นที่เป็นดินเปรี้ยวประมาณ 5.6 ล้านไร่ ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางและภาคตะวันออก (ข้อมูล : กรมพัฒนาที่ดิน, 2558) หนึ่งในนั้นคือที่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเฉพาะในอำเภอบางน้ำเปรี้ยว ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่ปลูก “ข้าว” เป็นหลัก
ทั้งนี้ ผลกระทบของดินเปรี้ยวนั้นส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืชเป็นอย่างมาก เพราะสภาพดินที่เป็นกรดจะขัดขวางการดูดซับธาตุอาหารของพืช โดยในกรณีของ “ข้าว” จะพบอาการกาบใบเหลือง ต้นชะงักโต
ทำให้ผลผลิตตกต่ำในที่สุด
แต่ปัญหานี้ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับคุณแดน วีสม เกษตรกรผู้ปลูกข้าว อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่มีประสบการณ์ทำนามามากกว่า 40 ปี สามารถใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านแก้ปัญหาดินเปรี้ยว ควบคู่กับการบำรุงธาตุอาหารอย่างเหมาะสม จนปลูกข้าวได้ผลผลิตสูงถึง 1.2 ตันต่อไร่ ขณะที่พื้นที่อื่นในละแวกข้างเคียงได้ผลผลิตเพียง 900-1,000 กิโลกรัมต่อไร่เท่านั้น
คุณแดนเผยว่า ตนเองนั้นเริ่มทำนาบนพื้นที่อำเภอบางน้ำเปรี้ยวมาตั้งแต่อายุ 15 ปี และด้วยความที่เปลี่ยนพื้นที่ทำเกษตรไม่ได้ จึงต้องปรับตัวหาวิธีแก้ปัญหาอย่างจริงจัง จนพบว่าหนึ่งในแนวทางเอาชนะปัญหาดินเปรี้ยวคือ “การบริหารจัดการน้ำเพื่อชะล้างความเป็นกรดในดิน” ขณะเดียวกัน ก็ต้องเปิดใจเรียนรู้ รับแนวคิดใหม่ๆ เพื่อพัฒนาผลผลิตไปด้วย ทั้งเรื่องของการเลือกพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับพื้นที่ การเตรียมแปลง รวมถึงการบำรุงที่ตอบโจทย์การเจริญเติบโตของข้าว จนปัจจุบันได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 ตันต่อไร่ รายได้ก็เพิ่มขึ้น จากในอดีตเริ่มทำนาบนพื้นที่ 50 ไร่ จนตอนนี้ได้ขยายเพิ่มเติมเป็น 198 ไร่แล้ว
นอกจากนี้ ด้วยความที่ขยายพื้นที่ทำนาเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันคุณแดนยังได้นำ “โดรนทางการเกษตร” เข้ามาใช้ในการหว่านปุ๋ยและฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ช่วยในการลดต้นทุนแรงงานและประหยัดเวลาทำงานอีกด้วย
แม้ต้องเผชิญกับปัญหา แต่คุณแดน ไม่เคยนำมาเป็นข้อจำกัด และยังคงพัฒนาแนวทางการเพิ่มผลผลิตอย่างต่อเนื่อง เบื้องหลังความสำเร็จของเกษตรกรหัวก้าวหน้าท่านนี้คืออะไร? ตามไปดูกันได้เลย!
คุณแดน วีสม เกษตรกรผู้ปลูกข้าว อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา
เตรียมแปลงและพันธุ์ข้าว
จุดเริ่มต้นที่ต้องใส่ใจ
การปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตดี ต้องอาศัยการวางแผนให้ครอบคลุมทั้งในส่วนของการคัดเลือกสายพันธุ์และการเตรียมแปลง ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้ต้นข้าวเจริญเติบโตได้ดี ทั้งยังมีส่วนช่วยลดปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยเหตุนี้ ก่อนปลูกข้าวในแต่ละรอบ คุณแดน จึงให้ความสำคัญกับการเตรียมการ 3 ขั้นตอน ได้แก่
คุณแดน จะพิจารณาจากความเหมาะสมของพื้นที่ สภาพอากาศ และช่วงเวลาที่ปลูก โดยมีหลักการ ดังนี้
- ข้าวนาปรัง (กันยายน-ธันวาคม) นิยมปลูกข้าวพันธุ์เบา เช่น กข41, กข51 เพราะเป็นข้าวที่มีอายุเก็บเกี่ยวสั้น ทนแล้งได้ดี
- ข้าวนาปี (พฤษภาคม-สิงหาคม) นิยมปลูกข้าวพันธุ์หนัก เช่น กข20, กข85 เพราะเป็นข้าวที่มีลักษณะลำต้นแข็ง ล้มได้ยากเมื่อเจอแรงลมหรือพายุ
นอกจากนี้ คุณแดน ยังมีเทคนิคสำคัญคือ การปลูกแบบ “หมุนเวียนสายพันธุ์” โดยในแต่ละแปลงจะไม่ปลูกข้าวสายพันธุ์เดิมซ้ำกันเกิน 2-3 รอบ วิธีนี้จะช่วยลดโรคพืชและแมลงได้มาก เนื่องจากการปลูกพันธุ์ข้าวสายพันธุ์เดิมบนพื้นที่เดิมในทุกปี จะทำให้โรคและแมลงมีการปรับตัวและดื้อยามากขึ้น
เทคนิคการปลูกข้าวแบบ “หมุนเวียนสายพันธุ์” ช่วยลดโรคพืชและแมลง
2. ขั้นตอนการ “เตรียมแปลง”
หลังจากเกี่ยวข้าวแล้ว คุณแดนจะ “พักแปลง” ไว้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ จากนั้นจะปล่อยน้ำเข้านาและขังไว้ประมาณ 3-4 วัน เพื่อหมักฟางและตอซังข้าวให้นิ่ม เสร็จแล้วใช้รถไถปั่นฟางทั้งหมด 2 รอบ เพื่อให้ฟาง มีขนาดเล็กลงและย่อยสลายง่ายขึ้น
เมื่อย่อยฟางจนละเอียดแล้ว จะใช้รถไถ “ตีเทือก” ปั่นดินให้เป็นเลน ตามด้วยการ “ลูบเทือก” เพื่อปรับหน้าดินให้เรียบเสมอกันทั้งแปลง ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยควบคุมระดับน้ำในแปลงให้เท่ากัน และลดปัญหาวัชพืชขึ้นแซมที่จะมาแย่งอาหารต้นข้าว จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายคือการ “ชักร่อง” เพื่อตีเส้นแนวระบายน้ำเข้าและออกจากแปลง
3. ขั้นตอนการ “เตรียมเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูก”
ในระหว่างการเตรียมแปลง คุณแดน จะเตรียมเมล็ดพันธุ์ควบคู่ไปด้วย โดยการนำพันธุ์ข้าวไปแช่น้ำเป็นเวลา 1คืน (แช่ทั้งกระสอบ) จากนั้นนำขึ้นมาผึ่งไว้อีก 2 คืน เพื่อให้เมล็ดพันธุ์คลายความร้อนจากกระสอบ และช่วยให้อัตราการงอกสมบูรณ์ขึ้น
การเตรียมเมล็ดพันธุ์ฉบับคุณแดน ช่วยให้อัตรางอกสมบูรณ์ขึ้น
จากนั้นจะสังเกตได้ว่าเมล็ดพันธุ์ข้าวเริ่มแตกตุ่มตาสีขาว หรือมีรากงอกขนาดประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ก็สามารถนำไปหว่านลงแปลงได้
เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เริ่มแตกตุ่มตา เตรียมพร้อมสำหรับการปลูก
บริหารจัดการน้ำดี
แนวทางสำคัญแก้ปัญหา “ดินเปรี้ยว”
“ดินเปรี้ยว” คือดินที่มีค่าความเป็นกรด-ด่าง หรือค่าพีเอช (pH) ต่ำกว่า 5.5 มีจุดสังเกตคือ ลักษณะเนื้อดินมักเป็นดินเหนียว มีความแน่น ระบายน้ำยาก และพบ “คราบสนิมเหล็ก” สีน้ำตาลอมส้มอยู่บนผิวดิน หรือผิวน้ำในแหล่งน้ำ หากไม่ได้รับการป้องกันก่อนปลูก จะทำให้ข้าวเจริญเติบโตช้า และมีการตอบสนองต่อการบำรุงต่ำ อาจได้ผลผลิตเพียง 250-350 กิโลกรัมต่อไร่เท่านั้น (ข้อมูล : กรมการข้าว, 2559)
“คราบสนิม” จากแหล่งน้ำบริเวณดินเปรี้ยวจัด หรือดินกรดกำมะถัน
แต่สำหรับคุณแดน สามารถใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านก้าวข้ามข้อจำกัดของพื้นที่ได้ โดยมีขั้นตอนคือ หลังจากหว่านเมล็ดพันธุ์ลงแปลงแล้ว จะปล่อยน้ำออกจากนาทันที จากนั้นปล่อยน้ำเข้าแปลงใหม่อีกครั้ง วิธีนี้จะช่วยชะล้างกรดที่สะสมอยู่ในดินได้เป็นอย่างดี
"อำเภอบางน้ำเปรี้ยว ดินมันก็เปรี้ยวเหมือนชื่ออำเภอนั่นแหละครับ แต่ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการทำนาของผมเลย เพราะเราเปลี่ยนที่ดินไม่ได้ ก็ต้องหมั่นเรียนรู้สู้มาตลอด เพื่อให้มีเทคนิคใหม่ๆ นำใช้แก้ปัญหาจนตอนนี้ผมเรียนรู้วิธีเอาชนะดินเปรี้ยวได้แล้ว ผลผลิตเราก็ได้ดีขึ้นกว่าเดิมมากครับ" คุณแดน เล่าถึงแนวคิดในการเอาชนะอุปสรรคดินเปรี้ยว
หลังจากหว่านลงแปลงแล้ว คุณแดน จะปล่อยน้ำออกจากนาทันที
จากนั้นปล่อยน้ำเข้าแปลงใหม่อีกครั้ง ช่วยชะล้างกรดที่สะสมอยู่ในดิน
ข้าวที่แปลงของคุณแดน ต้นสมบูรณ์ ใบเขียวทน แตกกอดี
ถือเป็นเครื่อพิสูจน์ว่า “ดินเปรี้ยว” ไม่เป็นอุปสรรคในการทำนา หากได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม
บำรุงธาตุอาหารตรงจุด
เคล็ดลับเพิ่มผลผลิต ฉบับเกษตรกรรู้จริง!
นอกจากคุณแดน จะมีวิธีการจัดการแปลงที่ดีแล้ว อีกปัจจัยสำคัญที่เป็น “จุดเปลี่ยน” ในการเพิ่มผลผลิตคือ การปรับวิธีบำรุงธาตุอาหารให้ตรงกับระยะการเจริญเติบโตของข้าว ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญมาก เพราะข้าวแต่ละระยะต้องการธาตุอาหารที่แตกต่างกัน หากขาดธาตุอาหารที่จำเป็น จะทำให้ผลผลิตลดลงได้
สำหรับการบำรุงข้าวในแบบฉบับของคุณแดน จะบำรุงทั้งหมด 3 ครั้ง ดังนี้
- การบำรุงครั้งที่ 1 ระยะข้าวแตกกอ (อายุ 25-30 วัน) เป็นช่วงที่ข้าวกำลัง “แตกกอสร้างจำนวนต้น” ต้องการธาตุ “ไนโตรเจน (N)” เพื่อใช้ในการสังเคราะห์แสง คุณแดน จะใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 46-0-0 ร่วมกับ ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-8-8 สัดส่วน 1:1 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ ช่วยให้ข้าวต้นแตกกอดี ได้จำนวนต้นมาก และมีใบเขียวสมบูรณ์
คุณแดน จะเน้นบำรุงข้าว “ระยะแตกกอ” ให้ใบเขียว แตกกอดี ด้วยปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 46-0-0
ร่วมกับ ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-8-8 สัดส่วน 1:1 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่
จากนั้นจะฉีดพ่นด้วย “อโทนิค” อัตรา 25 ซีซี ต่อน้ำ 10 ลิตรต่อไร่ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบราก ทำให้ต้นข้าวรากเดินดี ดูดซับธาตุอาหารได้เต็มที่
เพราะ “ราก” ที่แข็งแรงจะช่วยให้ต้นข้าวดูดซึมธาตุอาหารได้ดีขึ้น
คุณแดน จึงฉีดพ่นด้วย “อโทนิค” อัตรา 25 ซีซี ต่อน้ำ 10 ลิตรต่อไร่ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบราก
- การบำรุงครั้งที่ 2 ระยะข้าวตั้งท้อง (อายุ 35-40 วัน) เป็นช่วงที่ข้าวกำลัง “เตรียมสร้างเมล็ดและรวง” จะใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-20-0 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ ควบคู่กับการฉีดพ่นฮอร์โมน “อโทนิค” อัตรา 25 ซีซี ต่อน้ำ 10 ลิตรต่อไร่ ช่วยให้ต้นข้าวแข็งแรง รากดูดซับธาตุอาหารได้ดี เตรียมพร้อมสำหรับการสร้างรวง โดยหากขาดการบำรุงในช่วงนี้ อาจทำให้ข้าวออกรวงไม่สม่ำเสมอพร้อมกันทั้งแปลง
ช่วงต้นข้าวกำลังสร้างเมล็ดและรวง ใช้ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-20-0 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่
ควบคู่กับการฉีดพ่น “อโทนิค” อัตรา 25 ซีซี ต่อน้ำ 10 ลิตรต่อไร่
- การบำรุงครั้งที่ 3 ข้าวระยะรับรวงหรือรับท้อง (อายุ 60-65 วัน) เป็นช่วงที่ข้าวกำลัง “สร้างแป้ง” ในเมล็ด จะใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 15-15-15 อัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่ ช่วยให้ข้าวตั้งท้องสมบูรณ์ เมล็ดข้าวมีขนาดใหญ่ เต็มเมล็ด และมีน้ำหนักมากขึ้น
บำรุงด้วยปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 15-15-15 อัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่ ใน “ระยะรับรวง” หรือรับท้อง
ช่วยให้ข้าวตั้งท้องสมบูรณ์ เมล็ดข้าวมีขนาดใหญ่ เต็มเมล็ด
พอข้าวเข้าสู่ระยะออกรวง อายุได้ประมาณ 80 วัน คุณแดน จะเริ่มจะปล่อยน้ำออกจากแปลง เพื่อให้ดินแห้ง ช่วยกระตุ้นให้เมล็ดข้าวสุกเต็มที่เสมอกันทั้งแปลง ช่วยลดความชื้นของข้าว และง่ายต่อการเก็บเกี่ยว
ข้าวอายุประมาณ 80 วัน จะปล่อยน้ำออกจากแปลงเพื่อให้ดินแห้ง
ใช้ “โดรนทางการเกษตร”
ลดต้นทุน ประหยัดแรงงาน
ต่อยอดสร้างรายได้เสริม
การขาดแคลนแรงงานภาคการเกษตร รวมถึงต้นทุนการจ้างงานที่สูงขึ้น เป็นหนึ่งในปัญหาที่เกษตรกรต้องรับมือและปรับตัวให้ทัน ซึ่งการนำเทคโนโลยีด้านการเกษตรเข้ามาใช้ ถือเป็นหนึ่งในวิธีการลดต้นทุนในระยะยาว ช่วยให้การทำงานของเกษตรกรสะดวกและประหยัดเวลามากขึ้น
เช่นเดียวกับคุณแดน ที่มีพื้นที่นาถึง 200 ไร่ จึงไม่สามารถทำเองได้หมดทุกขั้นตอน ดังนั้น จึงมีการนำเครื่องจักรและอุปกรณ์ทางการเกษตรเข้ามาใช้งานหลายอย่าง ทั้งการใช้เครื่องพ่นปุ๋ย ในการหว่านพันธุ์ข้าว การใช้รถเกี่ยวนวดข้าวในการเก็บเกี่ยวผลผลิต ทำให้ช่วยประหยัดเวลา-แรงงาน และล่าสุดคือ การนำโดรนทางการเกษตรเข้ามาใช้ โดยมี “ลูกสาว” เป็นผู้ช่วยคนสำคัญ
ด้านคุณปัท-ปาริฉัตร วีสม ลูกสาวของคุณแดน เล่าถึงที่มาของใช้โดรนทางการเกษตรว่า “ก่อนหน้านี้เราเห็นการทำงานของพ่อที่ต้องเหนื่อยลงมือทำเองทุกขั้นตอน และใช้เวลาค่อนข้างมาก เลยอยากช่วยแบ่งเบาภาระ จึงได้ตัดสินใจนำโดรนทางการเกษตรเข้ามาใช้ค่ะ หลังใช้งานมาได้เกือบ 2 ปี ก็รู้สึกว่าคุ้มค่ามาก อย่างกรณีพื้นที่ 60 ไร่ หากใช้แรงงานคนในการหว่านปุ๋ย ต้องใช้เวลานาน 1-2 วัน แต่พอใช้โดรนทางการเกษตร XAG รุ่น P100 Pro จะใช้เวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น ช่วยประหยัดเวลา ทั้งยังช่วยให้การหว่านปุ๋ยมีความแม่นยำ เม็ดปุ๋ยการกระจายตัวได้ดี และมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ”
คุณปัท-ปาริฉัตร วีสม ลูกสาวของคุณแดน กับโดรนทางการเกษตร XAG รุ่น P100 Pro
ทั้งนี้ เนื่องจากพื้นที่อำเภอบางน้ำเปรี้ยวนั้นมีการปลูกข้าวเป็นจำนวนมาก คุณปัท จึงเห็นโอกาสในการต่อยอดสร้างอาชีพ เข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิก “ทีมนักบินโดรนเจียไต๋” รับจ้างบินโดรนหว่านปุ๋ยและฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในพื้นที่ใกล้เคียง ช่วยสร้างรายได้เสริมได้เป็นอย่างดี
โดรนทางการเกษตร XAG รุ่น P100 Pro ช่วยให้การหว่านปุ๋ยและฉีดพ่นสาต่างๆ
มีความแม่นยำและทั่วถึงมากขึ้น โดยที่เกษตรกรไม่ต้องลงย่ำแปลง ทำให้ผลผลิตเสียหาย
“เปิดใจ-เรียนรู้สิ่งใหม่” เบื้องหลังความสำเร็จ
สูตรลับผลผลิต 1.2 ตันต่อไร่
ในอดีต คุณแดน ปลูกข้าวได้ผลผลิตประมาณ 900-1,000 กิโลกรัมต่อไร่ เช่นเดียวกับเกษตรกรในละแวกเดียวกัน แต่ปัจจุบันสามารถเพิ่มผลผลิตขึ้นเป็น 1.2 ตันต่อไร่ ทั้งหมดนั้นเป็นผลมาจากการที่เป็นคนเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และไม่หยุดพัฒนาตนเอง โดยไม่ยึดติดกับชุดความรู้เดิมที่เคยทำตามกันมา
คุณแดน เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยตรากระต่ายว่า “สมัยก่อนเวลาทำนาเราจะบำรุงข้าวแค่ 2 ครั้งครับ (ระยะข้าวแตกกอและระยะข้าวตั้งท้อง) และไม่ใช้ปุ๋ยยูเรีย (สูตร 46-0-0) เพราะเชื่อว่าทำให้ดินเป็นกรด แต่พอมีน้องๆทีมงานบริษัท เจียไต๋ เข้ามาแนะนำขั้นตอนการบำรุงธาตุอาหารให้ตรงตามความต้องการของพืชแต่ละระยะ จึงได้เพิ่มการบำรุงครั้งที่ 3 เข้ามา คือ ระยะข้าวรับรวง พอเปลี่ยนแล้วเห็นผลเลยครับ ช่วยให้ข้าวเต็มเมล็ด และมีน้ำหนักมากขึ้น
พร้อมแก้ไขความเข้าใจว่า “ปุ๋ยยูเรียไม่ได้เพิ่มค่าความเป็นกรดในดิน” จึงเริ่มเปิดใจ ทดลองใช้ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 46-0-0 กับพื้นที่นาบางส่วน ก็พบว่า ต้นข้าวใบเขียวสมบูรณ์ ผลผลิตก็เพิ่มขึ้นครับ จากนั้นก็เริ่มเชื่อมั่น ทยอยใช้ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 46-0-0 ในแปลงอื่นเพิ่มมากขึ้น ส่วนปุ๋ยอีกสูตรที่ประทับใจคือ ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-20-0 พอใช้แล้วเห็นได้ชัดว่า ต้นข้าวเขียวทน เขียวนานกว่าปุ๋ยยี่ห้ออื่นครับ”
หลังจากคุณแดน เพิ่มการบำรุงครั้งที่ 3 ใน “ระยะข้าวรับรวง” ช่วยให้ผลผลิตดีขึ้นอย่างชัดเจน
ข้าวเมล็ดใหญ่ ออกสุดปลายรวง ได้น้ำหนักรวม 1.2 ตันต่อไร่
นอกจากนี้ คุณแดน ยังฝากข้อคิดทิ้งท้ายว่า “ใครว่าทำนามีแต่เจ๊ง ไม่จริงครับ ที่ผมมีวันนี้ได้ก็เพราะการทำนา สิ่งสำคัญคือต้องมีการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ และต้องมีการปรับตัว จะทำให้เรามีผลผลิตเพิ่มขึ้น คุณภาพก็ดีขึ้นแน่นอนครับ”
แม้จะมีประการณ์ทำนามานานกว่า 40 ปี แต่คุณแดน ยังคงเป็น “เกษตรกรหัวก้าวหน้า” ที่ไม่หยุดเรียนรู้ มีการนำ “เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่” มาใช้ร่วมกับ “ภูมิปัญญาดั้งเดิม” ได้อย่างลงตัว จนสามารถเอาชนะปัญหาดินเปรี้ยว และค้นพบเทคนิคการบำรุงธาตุอาหารที่เพิ่มผลผลิตให้ได้มากถึง 1.2 ตันต่อไร่ ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า หากเกษตรกรพร้อมเปิดใจรับสิ่งใหม่ และกล้าปรับเปลี่ยน ก็สามารถได้ผลผลิตดีขึ้นแบบชัวร์...เด๊ะๆ สมหวัง เป๊ะๆ แน่นอน
“ปุ๋ยตรากระต่าย” สูตรลับผลผลิต 1.2 ตันต่อไร่ ของคุณแดน วีสม เกษตรกรหัวก้าวหน้า
สำหรับผู้ที่สนใจเคล็ดลับในการทำการเกษตร สามารถติดตามสาระเกษตรน่ารู้ ได้ที่
เคล็ดลับการปลูกข้าวนาปรัง ให้ข้าวรวงใหญ่ ได้น้ำหนัก แบบฉบับเกษตรกรรู้จริง
เคล็ดลับปลูกข้าวนาปี ให้แตกกอดี รวงใหญ่ ได้น้ำหนัก
ปราชญ์ชาวนา แนะเคล็ดลับปลูกข้าว สู้น้ำท่วม ด้วยการบริหารจัดการพื้นที่ ได้ผลผลิตสูงถึง 1.3 ตัน/ไร่
ติดตามข่าวสารอื่นๆ ข้อมูลสินค้า และข่าวสารจากปุ๋ยตรากระต่าย เพิ่มเติมได้ที่
Facebook: www.facebook.com/puitrakratai/
YouTube: www.youtube.com/c/Puitrakratai
TikTok: https://www.tiktok.com/@puitrakratai
ไลน์ “เจียไต๋ Chia Tai”: https://r.holistica.live/e/x/6WRZ71tp1
ข้อมูลสินค้าปุ๋ยตรากระต่าย : https://www.chiataigroup.com/business/fertilizer/Puitrakratai-Rice-Fields